วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

สุพรรณบุรี วันที่ 2-3 กรกฏาคม 2557

" แพทพอพ กับ สุพรรณบุรี " 


สวัสดีครับ บทความนี้เป็นบทความชิ้นแรกที่ผมเริ่มเขียนใน "บล๊อค" แห่งนี้ (ซึ่งเขาทำกันมานานแล้วตั้งแต่ พระเจ้าเหาที่ 12 )

ตอนแรกก็ว่าจะไม่ทำเหมือนกัน แต่ได้รับการทาบทามจาก "มายา เจ๊ท" ซึ่งเป็นเลสเบี้ยนเท่ๆของประเทศไทยคนหนึ่ง


ว่าแล้วก็มาเริ่มต้นเลยดีกว่า ทริปสุพรรณบุรีนี้ เกิดจากการที่ผมจริตอยากไปต่างจังหวัด ทุกจังหวัดของประเทศไทย เพราะเชื่อว่าทุกจังหวัดในประเทศประเทศไทย มีสเน่ห์ เอกลักษณ์ แตกต่างกันออกไป
บางคนอาจจะบอกว่า จังหวัดนั้น ไม่เห็นมีอะไรเลย ไม่น่าสนใจ ไม่น่าไป แต่บางที จังหวัดเหล่านั้น อาจจะมีอะไรซ่อนอยู่มากมายก็เป็นได้ 


ทริปนี้ก็รวมแล้ว มีทั้งหมด 5 คน ที่ไป ประกอบไปด้วย เปรี้ยวใจ ส้มมี่ กนตี้ และ เอิร์ธ
เปรี้ยวใจ คือ กัปตันของทริปนี้ เพราะเป็นคนในพื้นที่ มีญาติพี่น้อง และเคยผ่านการใช้ชีวิตที่สพรรณบุรีมาในตอนเยาว์วัย 



เราตกลงกันว่าจะออกจาก กรุงเทพตอนตี 5.30 เพื่อที่จะหนีรถติดในช่วงเช้าของเมืองหลวงของประเทศไทย ที่มีประชากรอาศัยอยู่ร่วมๆ 8 ล้านคน


พวกเราใช้ถนนเส้นงามวงศ์วาน เพื่อไปสุพรรณบุรีกัน แล้วจุดหมายแรกที่พวกเราไปก็คือ "วัดไผ่โรงวัว"
ซึ่งจุดเด่นที่สำคัญ การมีพวกเปรต ผี ปีศาจ เยอะแยะมากมายก่ายกองนั่นเอง



ระหว่างทางก็มีแวะพักทานอาหารเช้ากัน มื้อแรกของการเดินทางนี้คือ KFC ตอน 8.00 กว่า -*- 



พอขับรถเข้ามาถึงวัด ก็เจอพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก เห็นตั้งแต่ปากทางเข้ามาเลยละครับ


พอเข้าวัดเสร็จเรียบร้อย เราเลยตกลงเข้าไปไหว้พระก่อน เพื่อความเป็นมงคลแก่ชีวิต แต่ผมเชื่อว่าเพื่อนของผม คงขอให้ทริปครั้งนี้ ปลอดภัย เหมือนกัน...


แล้วเราก็มาถึง เมือง นรกภูมิ นะครับ ซึ่งข้างในก็เต็มไปด้วยเปรต ผี อสูรกายต่าง ล้วนแต่ ทำบาปผิดศีลมา จึงต้องมาชดใช้เวรกรรมของตนเอง ส่วนตัวแล้ว เข้าไปก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไรนัก เพราะตอนเช้าอยู่ด้วยมั้ง แต่เหล่าผีเยอะจริงครับ เลยถ่ายรูปมาฝากบางส่วนกัน















พอเสร็จจาก " วัดไผ่โรงวัว" แล้ว พวกเราเลยตัดสินใจ มุ่งหน้าสู่ที่พักของพวกเรา ซึ่งเป็นหมู่บ้าน ไทย-พวน เป็นหมู่บ้านที่พูดภาษา พวน มากกว่าพูด ภาษาสุพรรณที่เราคุ้นเคยกัน หมู่บ้านนี้ชื่อว่า หมู่บ้านโพธิ์ศรี ซอยพิกุลทอง ตำบล บางปลาม้า  อยู่ในอำเภอ บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี บรรยากาศส่วนใหญ่ ประกอบด้วย ความเป็นธรรมชาติ ทุ่งนา ต้นไม้ ต่างๆเต็มไปหมด 




ภาษา พวน คน พวน คือ คน ไทย-ลาว ที่พูด ภาษา ลาว แต่งตากจากสุพรรณ นะครับ 
ปัจจุบันประเทศไทย ก็ยังมีคน ไทย-พรวน อาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆเหมือนกัน



บรรยากาศรอบที่พัก "โฮมสเตย์" ก็ประมาณนี้นะครับ คืนละ 200 บาท/คน พร้อมอาหารเช้า อย่าง แซบ



ลืมถ่ายที่พักของตัวเอง ถ่ายตรงข้ามมาอวดแล้วกัน ธรรมชาติ สุดๆ 




หลังจากที่เราเก็บของสัมภาระเรียบร้อย ล้างหน้า ล้างตา ก็มาทานก๋วยเตี๋ยว หน้าบ้านกัน ขับรถมาประมาณ 200 เมตรก็ถึง ราคาชามละ 20 บาทเอง ถือว่าเป็น อาหารกลางวันของเราตอน 11.00 ละกัน
จุดหมายที่เราจะไปต่อนั้นก็คือ บึงฉวาก



พอมาถึงบึงฉวาก ทำให้ผมได้รู้ว่าที่นี่ ไม่ได้มีแต่อุโมงใต้น้ำเท่านั้น ยังมีสวนสัตว์ แปลงเกษตร แล้วก็ รีสอร์ทบนตนไม้อีกด้วย เสียดายที่เวลาเราไม่มากพอที่ จะเข้าไปสำรวจให้ครบทุกที่ เพราะว่า บึง ฉวากใหญ่มากครับ เราเลยได้แต่ตามไปดูสัตว์น้ำ ดูปลากัน


มีค่าผ่านประตูมาด้วย จำไม่ได้ว่ากี่บาทแต่ไม่น่าจะเกิน 50 บาทนะครับ แล้วถ้าเข้าไปดู อุโมงค์ใต้น้ำ เสียอีกคนละ 150 บาทครับ 















หลังจากท่องโลกใต้น้ำเสร็จแล้ว เลยออกมาดูพี่ขอนลอยต่อ ถือว่าจระเข้ที่นี่ก็เยอะพอสมควร เหมือนกันนะครับ แต่เราไม่ได้ถ่ายมาเลย เน้นถ่ายเล่น ถ่ายเอง ถ่ายเฮฮากันเองเสียมากกว่า 













ก่อนออกจากบึงฉวากก็กินไอติมแก้ร้อนเสียหน่อยครับ วันนี้ร้อนมากจริงๆ  สุดท้ายพวกเราต้องไปต่อครับ เป้าหมายต่อไปก็คือ "ตลาด 100 ปี สามชุก"







ตลาดสามชุก ถือเป็นอีกหนึ่งไฮท์ไลท์ที่สำคัญของเมือง แผ่นดินทอง ที่ต้องมา สภาพโดยรวมจะเป็นตลาดโบราณที่เป็นคล้ายหมู่บ้าน เป็นบ้านไม้โบราณ ส่วนใหญ่จะมีทั้งของกินและของฝาก เยอะแยะเต็มไปหมด ให้เลือกซื้อกันครับ

















นี่คืออีกหนึ่งมุมเลยครับ ของตลาดร้อยปีแห่งนี้ ที่คนนิยมชอบมาถ่ายรูปเล่นกัน "ที่ว่าการอำเภอ" 











ส่วนอันนี้ก็ถือเป็นไฮท์ไลท์อีกอันเหมือนกันครับ  จริงแล้วอ่านว่า เลียบนะที นะครับไม่ใช่ เลีย บนที







พอเราเริ่มเหนื่อยเริ่มอ่อนล้า จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะกลับไปที่พักของพวกเราเพื่อที่จะได้ลุยต่อยามค่ำคืนของพวกเรา เรากลับจากตลาดประมาณ 16.30 ก็ถึงที่พักแล้วก็นอน 19.00 ก็ออกไปหาข้าวกิน หลังวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ซึ่งจะมีรถมาขายอาหารข้างทางเพียบเลยนะครับ แล้วก็ใกล้กับหอคอยลุงบรรหารด้วยครับ





สภาพแต่คนละพร้อมลุยกันเต็มที่ทุกคนเลยทีเดียว



ตอนแรกพวกเราจะไป 24 บาร์กันครับ ซึ่งเป็นร้านที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสุพรรณบุรีอย่างมาก แต่วันนั้น วงบอดีสแลมส์มาเล่น ค่าเข้าคนละ 1200 บาท เราเลยต้องย้ายมา ที่ Zood แทนนะครับ จริงๆก็ยังมีอีกหลายที่ ทั้ง ชบา และ ดิสโคฟเวอรี่ แต่วันนั้นเหมือนที่ Zood จะเยอะสุด เราเลยอยู่ที่นั่นยาว ที่นั่นมีทั้ง นั่งชิล และ ผับนะครับ พอเที่ยวเสร็จ พวกเราก็กลับกัน







ตื่นเช้ามาก็เจอลอยนี้เรียบร้อยครับ ของฝากจากสุพรรณบุรี เพื่อนผมบอกว่า ลูกผู้ชายเกิดมาต้องมีแผลเป็นครับ ถึงจะเท่ 55555+ 





วันสุดท้ายแล้วครับ หลังจากทานข้าวเช้าจาก โฮมสเตย์เสร็จ ก็มี ปลาสลิดทอด ต้มยำรวมมิตร ผัดผักคะน้า ข้าวสวย และ หมูทอด เราก็ต้องกล่าวอำลา แต่ก่อนจะอำลาแบบแท้จริงและสมบูรณ์แบบ เราเลยไปอำลากันที่ "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" กันครับ 





















หลังจากไหว้พระ เดินเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้เสร็จ เราก็ต้องหาอะไรทานรองท้องแล้ว เพราะเราจะตีรถกลับ กรุงเทพกัน ก็ได้ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้แหละประทังชีวิตไปอีกมื้อหนึ่ง คนเยอะดีเหมือนกันครับ






ท้ายทีสุดเราก็ต้องอำลา สุพรรณบุรี กันอย่างจริงจัง จังหวัดนี้ที่จริงแล้วถือว่ายังมีที่เที่ยวอีกหลายที่ ที่เรายังไม่ได้ไป เนื่องจากเวลาเรามีจำกัด และ อยากไปใช้ชีวิตแบบสบายๆมากกว่า เที่ยวเก็บให้ครบทุกที่ 
เพราะบางที เรากินอะไรมากไปก็ไม่ดี แม้ว่ามันจะอร่อยก็เถอะ กินพอดีพอดีเสียดีกว่า ไว้โอกาสหน้าจะกลับมารู้จักให้มากกว่านี้นะ..... สุพรรณบุรี :)